Skip to main content Link Menu Expand (external link) Document Search Copy Copied

ประโยคนามโดด

สารบัญ

ประโยคคือหน่วยที่เล็กที่สุดของภาษาที่ใช้สื่อสารได้อย่างมีความหมาย1 อย่างน้อยประโยคต้องประกอบด้วยประธานกับกริยา (Subject-Verb) เช่น ฉันวิ่ง (I run) หรือประธาน กริยา และกรรม (Subject-Verb-Object) เช่น ฉันตีลูกบอล (I hit a ball) ลำดับของคำมีความสำคัญต่อประโยคภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เมื่อลำดับของคำเปลี่ยนไปความหมายของประโยคก็จะเปลี่ยนไป เช่น วิ่งฉัน ไม่มีความหมาย (แต่ run I พอใช้ได้) และ ลูกบอลตีฉัน มีความหมายต่างออกไป (a ball hit I ไม่มีความหมาย แต่ a ball hits me มีความหมายต่างออกไป)

จากตัวอย่างที่ยกมาจะเห็นว่าจุดที่ภาษาไทยต่างกับภาษาอังกฤษ คือ ภาษาไทยไม่มีการเปลี่ยนรูปคำตามหน้าที่แต่ภาษาอังกฤษมี เมื่อเปลี่ยน ฉันตีลูกบอล เป็น ลูกบอลตีฉัน ลูกบอลที่เป็นกรรมในประโยคแรกกลายเป็นประธานในประโยคหลังเพียงแค่สลับตำแหน่ง แต่ในภาษาอังกฤษลำดับของคำความจริงไม่ได้สำคัญไปกว่ารูปของคำ (ที่แสดงหน้าที่ของคำนั้น ๆ)

ดังนั้นการพูดว่า run I จึงมีความหมาย เพราะ I เป็นรูปของประธาน และ a ball hit I มีความหมายเหมือน I hit a ball ส่วน a ball hits me มีความหมายตรงกันข้ามเพราะ me เป็นรูปของกรรม ส่วน hits เป็นกริยาของ ball ถ้าเราพิจารณารูปของคำให้ดี การพูดว่า me hits a ball ย่อมมีความหมายเหมือนกัน แต่เนื่องจากภาษาอังกฤษถือลำดับของคำด้วย การพูดว่า a ball hit I หรือ me hits a ball แม้จะมีความหมายตามหน้าที่ของคำที่แสดงไว้ แต่ก็ถือว่าผิดไวยากรณ์ ไม่เป็นที่นิยมใช้กัน

เมื่อเข้าใจภาษาอังกฤษอย่างนี้ การเรียนภาษาบาลีก็จะง่ายขึ้น เพราะบาลีเหมือนภาษาอังกฤษมากกว่าภาษาไทยในเรื่องการเปลี่ยนรูปของคำตามหน้าที่ และภาษาบาลีไม่ถือความสำคัญของลำดับ แต่ก็มีการวางตำแหน่งที่นิยมใช้กัน เช่น เวลาพูดว่า I hit a ball (S-V-O) ภาษาบาลีมักจะเรียงเป็น I a ball hit (S-O-V) จะมองว่าลำดับของคำในประโยคบาลีเป็นเรื่องของสไตล์มากกว่ากฎทางไวยากรณ์ก็ได้

คำ (ส่วนใหญ่) ในประโยคภาษาบาลีจะมีรูปเปลี่ยนไปตามหน้าที่ของคำนั้น

นี่คือเรื่องสำคัญอันดับแรกที่ต้องรู้ก่อนการเรียนแต่งประโยคภาษาบาลี กล่าวคือ คำที่ประกอบในประโยคภาษาบาลีจะต้องมีรูปตามหน้าที่ของคำนั้นจึงจะมีความหมาย2 ความยากอยู่ตรงนี้ ในขณะที่ภาษาอังกฤษมีการเปลี่ยนรูปแบบของคำตามหน้าที่ไม่มากนัก เช่น การเติม -s เพื่อทำคำนามให้เป็นพหูพจน์ หรือทำคำกริยาให้เป็นเอกพจน์ปัจจุบัน การเติม -ed เพื่อทำกริยาให้เป็นอดีต การเติม -ing เพื่อทำกริยาให้เป็นนามหรือรูป progressive และการเปลี่ยน I เป็น me เพื่อทำประธานให้เป็นกรรม เป็นต้น ส่วนภาษาบาลีการเปลี่ยนรูปคำถือว่าเป็นเรื่องที่มีเนื้อหามาก และเวลาส่วนใหญ่ในการเรียนบาลีไวยากรณ์ก็ใช้ไปกับการท่องจำกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ในเรื่องนี้ ถึงแม้หลักสูตรที่กำลังนำเสนอนี้พยายามจะลดภาระของผู้เรียน แต่ก็ขอให้เข้าใจว่า นี่เป็นลักษณะสำคัญของภาษานี้ การจดจำส่วนที่จำเป็นเบื้องต้นยังคงมีความจำเป็น

คำนาม (noun)

คำนามคือคำที่ใช้แทนสิ่งมีชีวิต สิ่งของ สถานที่ และสภาวะทางนามธรรมต่าง ๆ คำนามมีมากที่สุดและเด็ก ๆ เริ่มการพูดด้วยการเรียกชื่อสิ่งต่าง ๆ คำนามจึงเป็นกลุ่มคำที่ควรจะเรียนรู้ก่อน

ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น คำภาษาไทยไม่มีการเปลี่ยนรูปตามหน้าที่ เราจึงไม่ควรจะเรียนด้วยภาษาไทย ส่วนภาษาอังกฤษมีการเปลี่ยนรูปคำนาม แม้ไม่มากนักแต่ก็มีความใกล้เคียงภาษาบาลีมากกว่า กล่าวคือ คำนามภาษาอังกฤษมีการเปลี่ยนรูปเพียง 2 อย่าง ได้แก่ รูปเอกพจน์ (singular ต่อไปจะย่อเป็น sg.) กับรูปพหูพจน์ (plural ย่อเป็น pl.) ตัวอย่างเช่น a pig (หมูตัวหนึ่ง) pigs (หมูหลายตัว) a goose (ห่านตัวหนึ่ง) geese (ห่านหลายตัว) a fish (ปลาตัวหนึ่ง) fish (ปลาหลายตัว) จะเห็นว่าวิธีการทำคำนามเอกพจน์ให้เป็นพหูพจน์มีกฎให้ต้องจำบ้าง รวมทั้งกรณีพิเศษต่าง ๆ คำนามในภาษาบาลีก็มีลักษณะคล้ายกัน คือ มีรูปเอกพจน์กับพหูพจน์

ส่วนที่เพิ่มมาจากภาษาอังกฤษ (แต่คล้ายภาษาฝรั่งเศส อิตาเลียน สเปน และภาษายุโรปอื่น ๆ) คือ คำนามจะมีเพศด้วย ในบาลีมี 3 เพศคือ ชาย (masculine) หญิง (feminine) และเป็นกลาง (neuter) ต่อไปจะใช้คำย่อเป็นหลัก ขอให้จำไว้ คือ m. f. และ nt. ตามลำดับ

ดังนั้นเมื่อพูดถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่งในภาษาบาลี เราจะต้องรู้ด้วยว่าคำที่ใช้เรียกสิ่งนั้นเป็นเพศอะไร ส่วนใหญ่เพศจะเดาได้โดยความหมายของคำเอง เช่น dāraka (boy) dārikā (girl) เป็นต้น3 คำที่ไม่เกี่ยวข้องด้วยเพศมักจะเป็นกลาง เช่น kula (family) akkhi (eye) เป็นต้น บางคำมีใช้มากกว่าหนึ่งเพศ เช่น potthaka (book) เป็นทั้ง m. และ nt. ดังนั้นถ้าไม่แน่ใจควรตรวจสอบกับพจนานุกรมทุกครั้ง

รูปคำต่าง ๆ ที่ยกเป็นตัวอย่างได้มาจากพจนานุกรม (อาจจะเรียกว่า dictionary form) คำเทคนิคเรียกว่า ศัพท์ (ดูคำอธิบายด้านล่าง) เป็นรูปดิบที่ยังไม่มีความหมาย คือ ยังบอกไม่ได้ว่า dāraka เป็นเด็กชายหนึ่งคนหรือหลายคน รูปศัพท์นี้จะต้องผ่านการแปรรูปก่อนจึงจะมีความหมาย

นอกจากพจน์กับเพศแล้วคำนามยังมีส่วนที่สำคัญที่สุด คือ หน้าที่ทางไวยากรณ์ ส่วนนี้มีเนื้อหามากและต้องทำความเข้าใจให้ดี มิฉะนั้นท่านจะไม่เข้าใจภาษาบาลีเลย หลักการคือ คำนามที่จะประกอบเป็นประโยคจะต้องมีรูปสอดคล้องกับหน้าที่ของคำนั้น อันนี้ไม่เหมือนภาษาอังกฤษแต่จะคล้ายกับภาษาอื่นที่เป็นลูกหลานของกรีกและละติน

กล่าวโดยสรุปได้ดังนี้ คำนามใดในประโยคที่มีความหมาย จะมีรูปที่สามารถชี้ได้ว่าคำนามนั้น เป็นเพศอะไร (อาจจะไม่ชัดเจน) เป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์ และทำหน้าที่อะไรทางไวยากรณ์

รูปของคำนามในประโยคจะแสดงให้รู้ว่าคำนั้น

  1. เป็นเพศอะไร (m. f. หรือ nt.)
  2. เป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์
  3. ทำหน้าที่อะไร

ศัพท์กับบท

ก่อนที่จะเรียนการแปรรูปของคำนาม เราต้องรู้ความแตกต่างระหว่างศัพท์กับบทก่อน ศัพท์ มาจาก สทฺท (sadda) แปลว่าเสียง คือคำดิบก่อนที่จะแปรรูป โดยทั่วไปเราจะพบคำดิบเหล่านี้ในพจนานุกรม ที่ว่า “ดิบ” หมายความว่ายังไม่พร้อมจะใช้งาน นั่นคือคำนามที่ได้จากพจนานุกรมยังไม่มีความหมายที่จะสื่อสารได้ (จะเรียกว่าสักแต่ว่า “เสียง” ก็ได้) คำเหล่านี้จะต้องผ่านการแปรรูปเสียก่อนจึงจะมีความหมาย ทางเทคนิคเรียกว่า declension เมื่อแปรรูปแล้วคำนั้นจะสามารถนำไปประกอบประโยคได้ เราเรียกคำที่แปรรูปแล้วว่า บท (pada)

  • ศัพท์ หรือ สทฺท คือคำดิบ ยังไม่มีความหมายจะสื่อสารได้
  • บท คือคำที่แปรรูปแล้ว มีความหมาย สามารถประกอบเป็นประโยคได้

เมื่อจะใช้ศัพท์ใดเราจะต้องรู้ข้อมูลเกี่ยวกับศัพท์นั้นก่อน คือรู้ว่าศัพท์นั้นเป็นเพศอะไรและมีอักษรท้ายคำ (ending หรือ การันต์) เป็นอะไร ดังตัวอย่างต่อไปนี้

ศัพท์ เพศ อักษรท้าย ความหมาย
dāraka m. a boy
dārikā f. ā girl
kula nt. a family
akkhi nt. i eye

โดยทั่วไปเราจะพบศัพท์ m. ลงท้ายด้วย a i ī u ū (มีน้อยมากที่ลงท้ายด้วย ā) ศัพท์ f. จะลงท้ายด้วย ā i ī u ū ส่วนศัพท์ nt. ส่วนมากจะลงท้ายด้วยสระสั้นคือ a i u ข้อที่น่าสังเกตคือ ศัพท์จะไม่ลงท้ายด้วย e กับ o (นี่เป็นอักษรท้ายของบทบางประเภท) และการเห็นอักษรท้ายอย่างเดียวไม่อาจจะบอกเพศได้ถูกต้อง เช่น -a อาจจะเป็น m. หรือ nt. ก็ได้ หรือ -i อาจเป็นได้ทั้งสามเพศ กรณีที่พอจะมั่นใจได้คือ -ā มักจะเป็น f. แต่ก็ไม่เสมอไป ดังนั้นจึงควรตรวจสอบให้ดีแล้วจดจำไว้

ที่เราต้องให้ความสำคัญกับอักษรตัวท้าย เพราะรูปแบบของการแปรรูปคำขึ้นอยู่กับว่า คำนั้นเป็นเพศอะไรและมีอักษรท้ายเป็นอะไร และนี่เป็นภาระเริ่มต้นที่ผู้เริ่มศึกษาทุกคนจะต้องจดจำ ดังจะกล่าวต่อไป

Nominative case

หน้าที่ของคำนามที่ต้องรู้เป็นอันดับแรกคือ ประธานของประโยค ศัพท์ทางไวยากรณ์เรียกรูปแบบคำประเภทนี้ว่า nominative case ต่อไปเราจะย่อว่า nom. การทำคำนามให้เป็นประธานของประโยค มีหลักการทั่วไปดังนี้

  -a/-ā -i -u
m. sg. a o i ī u ū
m. pl. a ā i ī
i ayo
ī
ī ino
u ū
u avo
ū
ū uno
nt. sg. aṃ i   u  
nt. pl. a āni i ī
i īni
  u ū
u ūni
 
f. sg. ā i ī u ū
f. pl. ā
āyo
i ī
iyo
ī
ī iyo
u ū
uyo
ū
ū uyo

การดูตารางให้เลือกแถวแนวนอนที่ตรงกับเพศและพจน์ของคำ จากนั้นให้ดูแถวแนวตั้งที่ตรงกับอักษรท้ายคำ กลุ่มคำที่เป็น m. กับ nt. มักจะมีการแปรรูปที่คล้ายกันจึงวางไว้ใกล้กัน การเรียนรู้ให้เริ่มจากคำเอกพจน์ก่อนเพราะง่ายที่สุด รูป nom. sg. ส่วนมากจะไม่เปลี่ยนแปลงยกเว้นที่ควรจำเป็นพิเศษคือ m. sg. เมื่อลงท้ายด้วย a ให้เปลี่ยนเป็น o (a o) นอกนั้นคงรูปไว้ และ nt. sg. เมื่อลงท้ายด้วย a ให้เพิ่ม ṃ เข้าไปเป็น aṃ นอกนั้นคงรูปไว้

ภาระที่ต้องจำจริง ๆ อยู่ที่คำพหูพจน์ มีหลักง่าย ๆ คือสำหรับ m. กับ f. ถ้าอักษรท้ายสั้นให้ทำให้ยาว ถ้ายาวอยู่แล้วก็คงรูปไว้ ส่วน nt. ให้เติม ni เข้าไปด้วย ผู้เริ่มเรียนอาจต้องระวังให้ดีเพราะรูปที่คล้ายกันอาจจะเป็นคนละพจน์ก็ได้ เช่น m. pl. กับ f. sg. อาจลงท้ายด้วย ā เหมือนกัน นอกจากนี้รูปพหูพจน์ยังมีการแปลงอักษรให้เป็นอย่างอื่นอีก เพื่อสร้างความแตกต่างระหว่าง m. pl. กับ f. pl. ผู้เรียนต้องใช้เวลากับการศึกษาและจดจำในส่วนนี้ด้วยเพราะเราจะพบรูปเหล่านี้บ่อย ๆ

ตัวอย่างคำนามที่แปลงเป็น nom. แล้วมีดังนี้

ศัพท์ เพศ บทเอกพจน์ บทพหูพจน์ ความหมาย
dāraka m. dārako dārakā a boy/boys
sūci m. sūci sūcī
sūcayo
a needle/needles
hatthī m. hatthī hatthī
hattino
an elephant/elephants
taru m. taru tarū
taravo
a tree/trees
nhārū m. nhārū nhārū
nhāruno
a tendon/tendons
dārikā f. dārikā dārikā
dārikāyo
a girl/girls
asani f. asani asanī
asaniyo
a thunderbolt/thunderbolts
sammajjanī f. sammajjanī sammajjanī
sammajjaniyo
a broom/brooms
rajju f. rajju rajjū
rajjuyo
a rope/ropes
sarabū f. sarabū sarabū
sarabuyo
a gecko/geckoes
kula nt. kulaṃ kulāni a family/families
akkhi nt. akkhi akkhīni an eye/eyes
indadhanu nt. indadhanu indadhanū
indadhanūni
a rainbow/rainbows

ประโยคนามโดด

อันนี้เป็นลักษณะเฉพาะของภาษาโบราณตระกูลนี้ เมื่อคำนามใดแปรรูปเป็น nom. แล้วคำนั้นจะมีความหมายเป็นประธานของประโยค แม้คำกริยาจะไม่ปรากฏก็ถือว่าเป็นประโยคที่สมบูรณ์แล้ว ในตำราบาลีเรียกประโยคแบบนี้ว่า ลิงคัตถะ เราจะไม่ใช้คำนี้แต่จะเรียกว่า ประโยคนามโดด แทน คือเป็นประโยคที่มีแต่คำนามหลัก (อาจจะมีคำขยายด้วยก็ได้แต่เรายังไม่พูดถึง ดูที่ นามกับบทขยาย)

ประโยคแบบนี้ส่วนมากจะใช้เป็นหัวเรื่อง บางครั้งเป็นการระบุสถานะของสิ่งใดสิ่งหนึ่งว่ามีอยู่ ตัวอย่างเช่น dārako แปลว่า เด็กชายคนหนึ่ง (มีอยู่) ในคำอธิบายของครูบาลีทั่วไปจะบอกว่า ถ้าไม่มีคำกริยาเวลาแปลให้เพิ่ม verb to be หรือ “เป็น/อยู่/คือ” เข้าไป ในบาลีคือ hoti (ดูที่ เป็น/อยู่/คือ) นั่นคือเวลาเห็น dārako มาโดด ๆ ให้มองเป็น dārako hoti (there is a boy)

กล่าวอีกอย่างหนึ่ง เมื่อคำนามใดแปรรูปเป็น nom. แล้ว แม้จะมาโดด ๆ ก็ถือว่าเป็นประโยคที่มีความหมาย โดยนัยนี้จึงถือได้ว่า ทุกหน่วยที่แปลความหมายได้ในภาษาบาลีล้วนเป็นประโยคทั้งสิ้น แม้จะไม่มีคำกริยา ก็ถือว่ามี “เป็น/อยู่/คือ” แต่ละไว้ ตัวอย่างประโยคนามโดดมีดังนี้

  • dārako = (There is) a boy.
  • dārakā = (There are) boys.
  • dārikā = (There is) a girl. หรือ (There are) girls.
  • dārikāyo = (There are) girls.
  • potthakaṃ = (There is) a book.
  • potthakāni = (There are) books.

ว่าด้วยชื่อ

ชื่อต่าง ๆ ที่ใช้เรียกกันก็จัดว่าเป็นคำนาม เรียกว่า วิสามัญนาม (proper noun) เมื่อจะเป็นประธานก็ต้องแปรรูปเหมือนกันตามหลักที่กล่าวมา ชื่อคนไทยที่มาจากบาลีอยู่แล้วสามารถนำมาใช้ได้ เช่น สุพล ใช้เป็น สุพโล หรือ Subalo (m.) และ สุภา ใช้เป็น Subhā (f.) กรณีอย่างนี้ไม่มีปัญหาเพราะชื่อกับเพศสอดคล้องกัน ถ้าสุภาเป็นผู้ชายจะทำอย่างไร?

จะเห็นว่าการนำชื่อภาษาไทยมาใช้โดยตรงนั้นมีปัญหาเรื่องเพศของคำ และที่สำคัญมีชื่อมากมายที่ไม่ได้มาจากภาษาบาลี แล้วเราจะทำอย่างไร? วิธีง่าย ๆ คือเพิ่ม nāma (name) เข้าไปแล้วแปรไปตามเพศที่ต้องการดังตัวอย่างต่อไปนี้

  • สุพล (m.) เป็น Suphon-namo
    = (There is a man) named Suphon.
  • สุภา (m.) เป็น Subhā-namo
    = (There is a man) named Subhā.
  • สุภา (f.) เป็น Subhā-namā
    = (There is a woman) named Subhā.
  • ขุนทอง (m.) เป็น Khunthong-namo (ขุนทอง-นาโม)
    = (There is a man) named Khunthong.
  • นกน้อย (f.) เป็น Noknoy-namā (นกน้อย-นามา)
    = (There is a woman) named Noknoy.
  • Smith (m.) เป็น Smith-namo
    = (There is a man) named Smith.
  • Smith (f.) เป็น Smith-namā
    = (There is a woman) named Smith.
  • Smith (nt.) เป็น Smith-namaṃ [kulaṃ]
    = (There is a family) named Smith.

เชิงอรรถ

  1. คำคือหน่วยที่เล็กลงไป แต่ใช้สื่อสารด้วยตัวเองไม่ได้ ประโยคใช้คำเป็นองค์ประกอบในการสร้างความหมาย คือใช้คำหลายคำมาเชื่อมโยงกัน เช่น “ฉัน” เป็นคำ “วิ่ง” ก็เป็นคำ การพูดเพียงว่า “ฉัน” หรือ “วิ่ง” ไม่มีความหมาย แต่ “ฉันวิ่ง” มีความหมาย (แต่ “วิ่ง” อาจใช้เพื่อสั่งได้ โดยประโยคเต็มคือ “เธอจงวิ่ง”) 

  2. ภาษาบาลีมีกลุ่มคำที่ไม่เปลี่ยนรูปเรียกว่า indeclinable (ind.) ส่วนใหญ่ทำหน้าที่เป็นคำเชื่อมและกริยาวิเศษณ์ บางส่วนทำหน้าที่เป็นคำกริยา 

  3. ที่ขัดกับความหมายของคำก็มี เช่น mātugāma (woman) dāra (wife) oradha (mistress) ทั้งหมดนี่เป็น m.