Skip to main content Link Menu Expand (external link) Document Search Copy Copied

กริยาปัจจุบันกับกรรม

สารบัญ

บทนี้เราจะเรียนสองเรื่องหลัก ๆ ซึ่งสัมพันธ์กัน เรื่องแรกคือรูปทั่วไปของกริยาปัจจุบัน อีกเรื่องคือการแสดงกรรมของกริยานั้น เนื่องจากคำกริยาในภาษาบาลีเป็นเรื่องยากและซับซ้อน ในที่นี้จะขอพูดถึงเพียงการใช้งานง่าย ๆ ส่วนเรื่องกริยาโดยละเอียดจะได้กล่าวถึงในโอกาสต่อไป

Present tense

จากที่ได้กล่าวไว้รูปคำกริยาที่ปรากฏในประโยคสามารถบอกข้อมูลได้ 4 อย่างคือ tense/mood, person, number, และ voice ที่เกี่ยวกับบุรุษ (person) กับ พจน์ (number) เราได้พูดถึงมาพอสมควร จึงน่าจะทำความเข้าใจไม่ยาก ส่วน voice เราจะสนใจเพียงรูป active voice (ปรัสสบท) เป็นหลัก ในบทนี้เราจะพูดถึงรูปกริยาปัจจุบันหรือ present tense การใช้งานของ tense นี้คล้ายกับภาษาอังกฤษคือแสดงสถานะหรือการกระทำในปัจจุบัน ที่เพิ่มเข้ามาคือในบาลีจะรวมถึงการกระทำที่กำลังดำเนินอยู่ (present continuous tense) ด้วย

ความจริงเราได้พบรูปกริยาปัจจุบันมาแล้วในตอนที่เราพูดถึงกริยาเป็น/อยู่/คือ แต่ตอนนี้เราจะพูดถึงการแปรรูปทั่วไปที่ใช้ได้กับคำกริยาอื่น ๆ ด้วย รูปทั่วไปของกริยาปัจจุบันแสดงได้ตามตารางข้างล่าง

บุรุษ เอกพจน์ พหูพจน์
3rd -ti -nti
2nd -si -tha
1st -mi -ma

ในตารางแสดงคำท้ายของรูปกริยาปัจจุบัน ส่วนที่เราจะต้องนำไปต่อเรียกว่า stem อันนี้ต้องขออธิบายนิดหน่อย ในการเรียนเรื่องคำกริยาในแบบขนบจะเริ่มที่รากคำ (root) คือส่วนที่เป็นแก่นของคำ จากรากคำนี้สามารถเจริญออกไปเป็นคำกริยา คำนาม และอื่น ๆ อีกมากมาย ในกรณีของคำกริยา เมื่อรากคำประกอบเข้ากับปัจจัย (operator) บางอย่างบวกกับคำลงท้ายที่แสดงไว้ในตาราง ผลที่ได้คือรูปกริยาที่พร้อมใช้งาน นำไปประกอบประโยคได้ ตัวอย่างเช่น hū (root) + a (operator) + ti = hoti (to be)1

ในที่นี้เราจะไม่สนใจรากคำ แต่เราจะเริ่มที่กริยาในรูปพจนานุกรม ซึ่งเป็นรูปที่ใช้งานจริง จากที่เคยแจงไว้ dictionary/canonical form คือรูป present 3rd-person singular active-voice ในตัวอย่าง คือ hoti จากนั้นให้เราทำกระบวนการย้อนกลับ โดยตัด ti ส่วนท้ายออกไป ผลที่ได้เรียกว่า stem ในกรณีนี้คือ ho เมื่อได้ stem แล้วเราก็จะสามารถสร้างรูปอื่น ๆ ได้โดยเพิ่มส่วนท้ายอื่นเข้าไป เช่น ho + nti = honti เป็นกริยาพหูพจน์ เป็นต้น

มีหลักเพิ่มเติมที่ควรรู้ไว้คือ เมื่อจะประกอบกับ -mi หรือ -ma ถ้าอักษรท้ายของ stem เป็น a ให้ทำเป็น ā (ดูตัวอย่างข้างล่าง) แต่ในกรณี -nti ถ้าเป็น ā อยู่แล้วให้ทำเป็น a (เช่น kiṇāti มีรูปพหูพจน์เป็น kiṇanti) ส่วนถ้าอักษรท้ายเป็น e หรือ o ไม่ต้องเปลี่ยนแปลง (เช่น dhāremi dhārema homi homa)

การทำรูปกริยาปัจจุบัน

  1. หากริยารูปพจนานุกรม เช่น gacchati (to go)
  2. ตัด ti ส่วนท้ายออกได้ stem เช่น gacchati = gaccha
  3. นำ stem ไปประกอบกับส่วนท้ายที่ต้องการ
    • เปลี่ยน a ท้าย stem เป็น ā เมื่อต่อกับ -mi หรือ -ma
    • เปลี่ยน ā ท้าย stem เป็น a เมื่อต่อกับ -nti
    • ถ้าท้าย stem เป็น e หรือ o ไม่ต้องเปลี่ยนแปลง

จากหลักที่กล่าวมาการแปรรูปกริยาปัจจุบันของ gacchati (to go) ทำได้ดังนี้

บุรุษ เอกพจน์ พหูพจน์
3rd gacchati gacchanti
2nd gacchasi gacchatha
1st gacchāmi gacchāma

การใช้ในประโยคก็ทำเหมือนที่ได้เรียนมาแล้ว เช่น

  • ahaṃ gacchāmi = I go.
  • mayaṃ gacchāma = We go.
  • tvaṃ gacchasi = You go. (sg.)
  • tumhe gacchatha = You go. (pl.)
  • so/sā gacchati = He/She goes.
  • te/tā gacchanti = They go.

Accusative case

ต่อไปเราจะเพิ่มจุดหมายของกริยา “ไป” เข้าไป ในภาษาบาลีจุดหมายนี้ถือว่าเป็นกรรมของกริยา ส่วนในภาษาอังกฤษถือว่าจุดหมายเป็นกรรมของบุพบท to เช่น I go to school. แต่เมื่อพูดเป็นบาลีจะเป็น I go school. ส่วนรูปของนามที่ทำหน้าที่กรรมเรียกว่า accusative case ต่อไปจะย่อว่า acc. มีการแปรรูปตามตารางข้างล่าง

  -a/-ā -i -u
m. sg. aṃ iṃ ī iṃ
ī inaṃ
uṃ ū uṃ
m. pl. a e i ī
i ayo
ī
ī ino
u ū
u avo
ū
ū uno
nt. sg. aṃ iṃ   uṃ  
nt. pl. a āni iṃ
i īni
i ī
  uṃ
u ūni
u ū
 
f. sg. ā aṃ iṃ ī iṃ
ī iyaṃ
uṃ ū uṃ
f. pl. ā
āyo
i ī
iyo
ī
ī iyo
u ū
uyo
ū
ū uyo

ตัวอย่างการใช้มีดังนี้

  • ahaṃ dhanāgāraṃ gacchāmi
    = I go to a bank. [dhanāgāra (nt.)]
  • mayaṃ pāṭhasālaṃ gacchāma
    = We go to school. [pāṭhasālā (f.)]
  • tvaṃ vihāraṃ gacchasi
    = You go to temple. [vihāra (m.)]
  • tumhe naccasālāyo gacchatha
    = You go to theaters. [naccasālā (f.)]
  • so/sā mahāvijjālayaṃ gacchati
    = He/She goes to university. [mahāvijjālaya (m.)]
  • te/tā ārogyasālaṃ gacchanti
    = They go to hospital. [ārogyasālā (f.)]

ในส่วนของคำสรรพนามมีการแปรรูปดังต่อไปนี้

สรรพนาม 1st person 2nd person 3rd person
ศัพท์ amha tumha ta
ความหมาย me–us you–you him/her/it–them
m. sg. maṃ, mamaṃ tvaṃ, tuvaṃ taṃ, naṃ
m. pl. amhe, no tumhe, vo te, ne
f. sg.     taṃ, naṃ
f. pl.    
nt. sg.     taṃ, naṃ
nt. pl.     tāni
  ta eta ima amu
m. sg. taṃ, naṃ etaṃ, enaṃ imaṃ amuṃ
m. pl. te, ne ete, ene ime amū
f. sg. taṃ, naṃ etaṃ, enaṃ imaṃ amuṃ
f. pl. etā imā amū
nt. sg. taṃ, naṃ etaṃ, enaṃ idaṃ, imaṃ aduṃ
nt. pl. tāni etāni imāni amūni

ตัวอย่างการใช้คำเหล่านี้มีดังนี้

  • ahaṃ tvaṃ gacchāmi
    = I go to you.
  • tumhe amhe gacchatha
    = You go to us.
  • tvaṃ mama ṭhānaṃ gacchasi
    = You go to my place. [ṭhāna (nt.)]
  • sā imaṃ gehaṃ gacchati
    = She goes to this house. [geha (nt.)]
  • te aduṃ sundaraṃ uyyānaṃ gacchanti
    = They go to that beautiful park (over there). [uyyāna (nt.)]

สองประโยคสุดท้ายช่วยเตือนว่าบทขยายของ acc. ต้องมีรูป acc. ตรงกับนาม

เมื่อผู้ศึกษาเข้าใจการใช้ gacchati ดีแล้ว การใช้คำกริยาอื่นในรูปปัจจุบันก็เป็นไปทำนองเดียวกัน กริยาที่ไม่ต้องการกรรมก็เพียงแปรรูปกริยาให้สอดคล้องกับบุรุษและพจน์ที่ต้องการ ถ้ากริยานั้นต้องการกรรมก็เพิ่มบท acc. เข้าไป ตัวอย่างข้างล่างน่าจะพอเป็นแนวทางได้

  • mahallako marati
    = An old man dies.
  • tā dārikāyo rodanti
    = Those girls cry.
  • te mama gehaṃ āgacchanti
    = They come to my house.
  • ahaṃ goḷakaṃ paharāmi
    = I hit a ball.
  • sunakho bhūmiṃ khaṇati
    = A dog digs the ground.
  • tvaṃ taṃ atthavaṃ potthakaṃ kiṇāsi
    = You buy that useful book.
  • eso sappo (taṃ) dārakaṃ ḍasati
    = That snake bites the boy.

ประโยคสุดท้ายแสดงให้เห็นว่า ta อาจจะแปลเป็น the ก็ได้ หมายถึงสิ่งที่เคยพูดมาก่อนหน้านี้ คือเด็กคนนั้น (taṃ dārakaṃ) แม้จะไม่มี taṃ ในประโยคนี้ถ้าเรารู้ว่าเด็กที่ว่าหมายถึงใครก็สามารถแปลเป็น the ได้ ส่วน eso sappo หมายถึง งู(ที่อยู่ตรง)นั้น

ในคัมภีร์เราจะพบว่ารูป gen. ก็ใช้เป็นกรรมและเป็นจุดหมายการไปด้วย เช่น

  • ahaṃ goḷakassa paharāmi
    = I hit a ball.
  • so gehassa gacchati
    = He goes home. [จะมองว่าเป็น dat. ก็ได้]

เชิงอรรถ

  1. เบื้องหลังการเกิดขึ้นของรูปกริยาแต่ละรูปมีความลึกลับซับซ้อนซ่อนอยู่ ขออธิบายง่าย ๆ อย่างนี้เพียงเพื่อปูทางไปสู่เรื่องที่ยากขึ้นในอนาคต รูปของรากคำไม่ได้เป็นตัวกำหนดรูปสุดท้ายที่ได้ และรากคำนี้บางทีก็เรียกชื่อไม่เหมือนกัน การแปรรูปส่วนใหญ่อยู่ที่ operator หรือปัจจัยซึ่งมีอยู่หลายตัวตามกลุ่มของรากคำ บางตัวก็มีผลทำให้รูปเปลี่ยนไปอย่างมาก บางตัวก็ทำให้เปลี่ยนไปบ้างเล็กน้อย นอกจากนี้การเพิ่มส่วนท้าย (คำเทคนิคเรียกว่า วิภัตติ) เข้าไป ก็อาจทำให้รูปกริยาเปลี่ยนไปได้อีก ทั้งหมดของกระบวนการแปรรูปนี้นักศึกษาตามแนวขนบจะต้องทำความเข้าใจและจดจำให้ดี แต่เราจะไม่เรียนด้วยวิธีอย่างนี้